ไปเยือนบ้านไทร อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เรียนรู้กรรมวิธีการทอผ้าไหมย้อมไม้เก้ามงคลอาบโคลน อย่างใกล้ชิด กับครูภูมิปัญญา “สมใจ จำปาทอง”

Jun 19, 2018ผ้าไทยและชุดร่วมสมัย

เรียบเรียงโดย สายสวรรค์ ขยันยิ่ง
ไปเยือนบ้านไทร อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เรียนรู้กรรมวิธีการทอผ้าไหมย้อมไม้เก้ามงคลอาบโคลนอย่างใกล้ชิด กับครูภูมิปัญญา “สมใจ จำปาทอง”

 

ชื่อนี้คนรักผ้าไหมอาจคุ้นหู คุ้นตา และทึ่งกับฝีมือการทอผ้าขั้นปรมาจารย์คนหนึ่งในแดนอีสานและได้รับการยอมรับในระดับประเทศ แต่สำหรับท่านที่ยังไม่รู้จัก ดิฉันขอคัดบทความประวัติของแม่สมใจ ที่ชุมชนเขวาสินรินทร์เขาเผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ gotoknow มาให้รู้จักกันค่ะ

“….นางสมใจ จำปาทอง ประธานกลุ่มผ้าไหมย้อมไม้เก้ามงคลอาบโคลนดอกบัว บ้านไทร เล่าว่า “ตนเองเรียนจบชั้น ป.4 สมัยนั้นต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน เพราะครอบครัวยากจน พ่อแม่มีที่ดินกว่า 100 ไร่ แต่ก็ต้องหมดไปเพราะโดนโกงตั้งแต่ตนยังเด็ก แม้แต่บ้านยังไม่มีอาศัยอยู่บ้านเล็กๆ จะขึ้นบันไดเหมือนจะหักอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่มีเพื่อนไม่มีญาติพี่น้อง จึงสร้างแรงกดดัน ซึ่งความกดดันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตนที่สร้างตนให้มีความเข้มแข็ง มีพลังต่อสู้ให้มาถึงวันนี้ได้

ตนได้เรียนรู้ทอผ้าไหมตั้งแต่เป็นเด็กอายุ 12 ปี ช่วงเป็นสาวมีหนุ่มเข้ามาจีบแต่ตนจะต้องวิ่งหนี ไม่กล้าที่จะคบกับใครเพราะตัวเองรู้สึกอายที่ไม่มีบ้านอยู่ จากที่ในชีวติไม่มีอะไร และไม่คิดว่าจะได้มาอยู่ในจุดนี้ สิ่งที่ตนเองปรารถนาอยากมีบ้าน ตั้งใจทำงานทอผ้าไหม และพัฒนาต่อยอดจากการทอผ้าไหมทั่วไปประยุกต์ ให้เป็นผ้าไหมมงคลที่มีส่วนผสมจากย้อมสีธรรมชาติ

โดยไม้มงคลเก้าชนิด ได้แก่ 1. แก่นขนุน 2. แก่นมะขาม 3. แก่นมะยม 4. ดอกดาวเรือง 5. ต้นคูณ 6. ขมิ้น 7. ต้นอร่าง( อะราง ) 8.ครั่ง และ 9.โคลนกอบัว รวมทั้งทอผ้าไหมลายดอกไม้มงคลต่างๆด้วย โดยมีลายผ้าไหมที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ทั้งผ้าไหมดอกดาวเรืองที่มีความเชื่อว่าเป็นผ้ามงคลสู่ความรุ่งเรืองในชีวิต ผ้าไหมลายดอกกุหลาบเป็นผ้ามงคลในเรื่องของโชคลาภ ผ้าไหมลายดอกคูณ เป็นผ้ามงคลในความเชื่อของการมีคนค้ำคูณ เป็นต้น ผ้าไหมจะเน้นผู้สวมใส่ให้มีสุขภาพดี และมีโชคลาภ

ที่ตนภูมิใจมากที่สุดที่ทำให้ตนต้องร้องไห้น้ำตาไหลเมื่อผ้าไหมของตนเองได้ยกเป็นสินค้าโอทอปขึ้นเครื่อง นับเป็นผลตอบแทนถึงความอดทน มุ่งมั่นตั้งใจในอาชีพที่ตนรักเสมอมา จนปัจจุบันได้ประสบความสำเร็จที่ตนสามารถสร้างบ้านได้ด้วยตัวของตัวเองก็เพราะอาชีพการทอผ้าไหม ที่ให้ชีวิตได้มีอยู่มีกินถึงวันนี้…”

นี่แหละค่ะหญิงแกร่งผู้สู้ชีวิต ด้วยจิตวิญญาณแห่งศิลปินที่มีทั้งพรสวรรค์ จินตนาการ และฝีมือในการทอผ้าอย่างน่าอัศจรรย์ สมกับที่เป็นครูภูมิปัญญาของแผ่นดินท่านหนึ่งในวันนี้

แม่สมใจรักและหวงแหนผ้าไหมทุกผืนที่ทอขึ้น จนบางครั้งไม่อยากขาย วันที่ดิฉันไปก็ต้องขออ้อนวอนอยู่นานกว่าจะใจอ่อน แต่ในที่สุดท่านก็ยอมให้ดิฉันนำมาแบ่งปัน 2 ผืน เป็นผ้า 4 เมตรสำหรับนุ่ง และ 2 เมตร สำหรับคลุมไหล่ สำหรับคนรักผ้าไหมแท้ และเต็มไปด้วยเรื่องราวอันทรงคุณค่า เป็นผืนผ้ามงคล และเป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานได้อย่างภูมิใจค่ะ